การวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงปริมาณ (Quantitative Risk Analysis)
การตัดสินใจภายใต้ความเสี่ยง
-
ผู้ตัดสินใจทราบโอกาสของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น (ทราบความน่าจะเป็นของการเกิดขึ้นของผลลัพธ์)
-
ใช้วิธีการตัดสินใจโดยการหาค่าคาดหวังของผลตอบแทน (Expected Value of the pay
off) (ตำราภาษาอังกฤษบางเล่มจะใช้ Expected Monetary Value : EMV)
ในส่วนที่1 เป็นการนำเสนอการวิเคราะห์ความเสี่ยงโดยการคำนวณค่า EMV ในรูปของ Table&Tree
ตัวอย่างการตัดสินใจลงทุนภายใต้ความเสี่ยง
การวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงปริมาณ (Quantitative
Risk Analysis)
อ้างอิง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. กิตตินุช
ชุลิกาวิทย์
การวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงปริมาณ (Quantitative
risk analysis) เป็นการวัดความเป็นไปได้และผลที่จะตามมาของความเสี่ยง
และการประมาณการผลกระทบที่ความเสี่ยงเหล่านั้นจะมีต่อวัตถุประสงค์ของโครงการ
การวิเคราะห์ความเสี่ยงในลักษณะนี้
มักจะถูกจัดทำขึ้นภายหลังจากที่ได้มีการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงคุณภาพเสร็จสิ้นลง
แต่อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ทั้ง 2 ลักษณะ อาจจะถูกจัดทำขึ้นพร้อมๆ กัน
หรือถูกจัดทำแยกกันก็ได้ ทีมงานของโครงกาบางโครงการอาจทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงคุณภาพเพียงอย่างเดียวก็เป็นไปได้
ซึ่งธรรมชาติของโครงการและงบประมาณด้านเงินทุนและเวลา
มีผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจเลือกวิธีการวิเคราะห์ความเสี่ยง โครงการที่มีขนาดใหญ่
ล้ำสมัย
และซับซ้อนมักจำเป็นต้องใช้การวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงปริมาณหลากหลายวิธีพร้อมๆ
กัน วิธีการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงปริมาณที่เป็นที่นิยมใช้กันโดยทั่วไป คือ Decision
tree analysis
การวิเคราะห์ Decision tree เป็นวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลผ่านการสร้างแผนผังเพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในสถานการณ์ที่เป็นที่ยอมรับกันว่า
ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน
หรือไม่สามารถทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างชัดเจน เทคนิคที่มักถูกนำมาใช้ประกอบการวิเคราะห์
Decision tree ได้แก่ การคำนวณค่าเงินในอนาคต (Expected
monetary value – EMV) ซึ่งเป็นผลคูณของความน่าจะเป็นที่จะเกิดความเสี่ยงและค่าเงินของความเสี่ยงนั้นๆ รูป แสดงการคำนวณค่า EMV โดยอาศัยการวิเคราะห์
Decision tree เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกดำเนินโครงการใดโครงการหนึ่งใน
2 โครงการ คือ Project #1
และ Project #2 หรือเลือกดำเนินทั้ง 2
โครงการ (ถ้าเป็นไปได้) หรือไม่เลือกดำเนินโครงการใดเลย
การหาค่า
EMV จำเป็นจะต้องทำการประมาณการค่าความน่าจะเป็น (P)
หรือโอกาสที่เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์จะเกิดขึ้นและการประมาณการผลสัมฤทธิ์ของโครงการ
โดยอาศัยการใช้วิจารณญาณของผู้ที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในโครงการที่มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
ยกตัวอย่าง เช่น จากรูป ทีมงานโครงการได้ประเมินแล้วว่า Project #1
มีโอกาสที่จะได้ทำสัญญาดำเนินการจริงอยู่ประมาณ 20% (P = 0.20) และจะสามารถทำกำไรให้กับกิจการและทีมงานประมาณ
300,000 บาท
ขณะที่ความน่าจะเป็นที่โครงการดังกล่าวจะไม่ได้รับการพิจารณาจากผู้ว่าจ้างมีถึงประมาณ
80% (P = 0.80) ซึ่งจะทำให้กิจการต้องสูญเสียเงินทุนประมาณ 40,000
บาท โดยไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้อีก
การประมาณการค่าความน่าจะเป็นและผลสัมฤทธิ์ของ Project #2
ก็สามารถกระทำได้ในลักษณะเดียวกับ Project #1
โดยสรุปแล้ว จะเห็นได้ว่า ผลรวมค่า EMV ของ
Project #1 เท่ากับ 28,000 บาท
(60,000 – 32,000) ขณะที่ผลรวมค่า EMV ของ
Project #2 เท่ากับ 30,000 บาท
(-10,000 – 2,000 + 42,000) ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า
จากผลการวิเคราะห์ ทั้ง Project #1 และ Project #2 เป็นโครงการที่มีโอกาสจะทำกำไรให้กับกิจการได้
เนื่องจากค่า EMV โดยรวมเป็นค่าบวกทั้ง 2 โครงการ
ดังนั้น ในกรณีที่กิจการมีข้อจำกัดในด้านทรัพยากร เช่น ด้านเงินทุน ด้านเวลา
และด้านบุคลากร เป็นต้น และจำเป็นที่จะต้องเลือกดำเนินโครงการใดโครงการหนึ่งใน 2
โครงการดังกล่าวเท่านั้น กิจการควรตัดสินใจเลือกดำเนิน Project
#2 เนื่องจากมีค่า EMV โดยรวม (30,000 บาท)
สูงกว่าค่า EMV โดยรวมของ Project #1 (28,000 บาท)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น